Throne of Blood - เสรีภาพสีแดง ????

16.9.12

 

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=798089

“มา ถึงวันนี้ แทนที่จะเป็นอันธพาลคลั่งเจ้าที่เราต้องกลัว เรามีกลุ่มคนบ้าคลั่งกลุ่มอื่นที่ไร้เหตุผลและนิยมความรุนแรงอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานมหกรรมปั่นหัวโดยเครื่องจักรทักษิณ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าเขาเป็นซ้ายหรือว่าเป็นขวาไม่ใช่ประเด็น แต่คนลักษณะนี้ทำให้ชีวิตของเราและของบ้านเมืองไร้เหตุผลและเสียสติ" - สมานรัชฎ์ (อิ๋ง) กาญจนะวณิชย์


ใบ ปิดหนังเรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ดูใบปิดล่ะ มิน่า คงสะเทือนซางใครบางคนละมั่ง เลยสั่งปิดปากซะ ตกลงรัฐบาลประชาธิปไตยของพวกเสื้อแดงเป็นแบบนี้เหรอ

มันเป็นเรื่องที่ไม่ผิดจากที่คาดไว้เมื่อ กองเซ็นเซอร์ ในกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มีมติสั่งห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เพราะอ้างว่า มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ

ภาพยนตร์ เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่อิงบทละคร ‘แม็คเบ็ธ’ ของวิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) เน้นไปที่ แม็คเบ็ธ - ขุนพลที่ไม่ภักดีอยากมีอำนาจและบ้าคำทำนาย เมื่อมีแม่มดมาทายว่าจะได้เป็นกษัตริย์ เขาก็ปลงพระชมม์พระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุควิบัติ ประชาชนเดือดร้อน ตัวเองก็กลายเป็นคนหวาดระแวง ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาอำนาจของตน

จริงๆแล้วผม ชอบงานของคุณอิ๋งตั้งแต่เรื่อง "พลเมืองจูหลิง" ครับ เลยรอดูอยู่ แต่ก็สังหรณ์ไว้ล่ะว่าจะอดดู เพราะเนื้อหาคงไม่เข้าตารัฐบาลนี้ พออ่านข่าวจบ ผมก็นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่มีเก็บไว้ จึงหยิบมาดูอีกรอบ ...


Throne of Blood เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1957 กำกับโดย Akira Kurosawa. ชื่อภาษาญี่ปุ่นสามารถแปลได้ว่า "Spider Web Castle". เป็นที่รับรู้กันว่า คูโรซาว่านำแกนหลักมาจากบทละครของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ Macbeth เหมือนกับเรื่องข้างบน

ผม ชอบการตีความของ อากิร่า มาก เพราะมันตัดทอนรายละเอียดบางอย่างลง และเพิ่มด้านมืดของมนุษย์เข้ามามากขึ้น รวมทั้งการเจาะลึกไปในตัวละครหลักอย่างถึงเลือดถึงกระดูก

เนื้อหา ของ Throne of Blood คือ มีขุนศึกซามูไร 2 คนแห่งปราสาทแมงมุม (ตามชื่อเรื่อง) Miki กับ Washizu ได้หลงป่า และพบกับปีศาจผมขาวตนหนึ่ง ซึ่งมันทำนายว่า เมื่อกลับไปในปราสาท Washizu จะได้กลายเป็นเจ้าครองแคว้น และลูกชายของ Miki จะเป็นเจ้าคนต่อไปเมื่อ "พุ่มไม้ทั้งหมด" เคลื่อนไหวได้


ปีศาจ กับ คำทำนาย

แน่ นอน จะด้วยเพราะคำทำนาย หรืออะไรก็ตาม คนเมื่อมันมีความโลภและทะเยอทะยาน Washizu จึงได้สังหารเจ้าแคว้นเดิม สังหารลูกชาย และขึ้นครองปราสาทเสียเอง โดยคนที่ยุยงได้ผลที่สุดคือตัวคุณหญิงของเขาเอง Asaji (บทเดียวกับ Lady Macbeth แต่แสดงได้ดีกว่าฝรั่งมาก)

ว่า กันว่า คนเราจะดีและชั่วได้ขนาดไหน ก็ดูเอาจากคนนอนใกล้ๆนั่นแหละ ถ้ามันบ้าอำนาจ โลภมากพอๆกัน (หรือทั้งตระกูล) โอกาสจะทำอะไรชั่วๆก็เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

จะ ว่าไปก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพวกบ้าอำนาจส่วนใหญ่จะเชื่อถือ หรือไม่ก็หลงไหลในศาสตร์อย่างพวกหมอดู ทำนายทายทักกันมาก อย่างบ้านเรา อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ นี่ก็ได้ชื่อว่าบ้าดูหมอ เชื่อเรื่องฮวงจุ้ย เรื่องวันดี ถึงขนาดไปหาหมอดูถึงพม่าอะไรทำนองนั้น (แต่จะพูดให้แฟร์ ตอนทหารยึดอำนาจก็มีโหร คมช. เหมือนกัน) จะพูดไป การทำนายของคนพวกนี้ก็ส่งผลถึงชะตากรรมเราๆท่านๆไม่น้อย

แต่ ผมว่าการทำนายนั้น เพียงแค่ไปกระตุ้นกิเลศที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตกันอยู่แล้วมากกว่า พอได้รับคำยุยงก็ลงมือตามด้านมืดที่กระหายอำนาจทันที


ซีน นี้เป็นซีนที่เธอกล่อม วาชิซุ ให้ยึดอำนาจและปกครองด้วยความเหี้ยมโหด "ในโลกแห่งอำนาจนี้ ถ้าคุณต้องการอำนาจ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง คุณก็ต้องฆ่าคน ถ้าคุณมีความทะเยอทะยาน คุณก็ต้องใช้มันอย่างรุนแรง ถ้าต้องการอำนาจและต้องฆ่าคน คุณต้องฆ่าจนมันกองไปถึงบนท้องฟ้า ถ้ามันต้องนองเลือด คุณก็ต้องให้เลือดมันนองเหมือนแม่น้ำ"

วา ชิซุ ขึ้นครองปราสาท โดยมี มิกิ สนับสนุน (โดยหวังจากคำทำนายว่าลูกชายตนเองจะได้เป็นกษัตริย์ต่อไป) ซึ่งแม้แต่คนดูโง่ๆอย่างผม เมื่อดูแล้วก็ยังรู้ว่า ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมันต้องจบไม่สวยแน่นอน

ว่ากันว่าอำนาจเป็นสิ่งที่ไม่เข้าใครออกใคร เมื่อได้มาแล้ว ถ้าไม่รู้จักใช้มัน คนที่ได้อำนาจนั่นแหละ จะถูกมันใช้เสียเอง !!!!!

ถึง ที่สุดแล้ว ทั้งๆที่ วาชิซุ อ้างว่าเชื่อคำทำนายและเป็นลิขิตฟ้า จึงต้องมาทำการแย่งอำนาจเป็นเจ้าเมืองเสียเอง กลับตัดสินใจ "หัก" คำทำนาย (เมื่อ อาซาจิ บอกเขาว่าเธอกำลังตั้งท้อง) โดยการหลอกเอา มิกิและลูกชายเขา มาสังหารทิ้งเสีย


มิ กิถูกตัดหัวแต่ลูกชายหนีไปได้และไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกแคว้นหนึ่ง และวางแผนกลับมาแก้แค้น ในขณะที่ วาชิซุ ก็ปกครองอย่างดุร้ายและใช้อำนาจอย่างรุนแรง จนบรรดาผู้ใต้ปกครองไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ

ภาพยนตร์ กำกับโดย คุโรซาว่า อากิร่า ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับสากล ได้รับการยกย่องจากทุกๆสถาบัน ภาคการแสดงก็ยอดเยี่ยม โตชิโร่ มิฟูเน่ ดาราคู่บุญของคุโรซาว่ารับบท วาชิซุ แต่คนที่เล่นได้ดีที่สุดคือคนที่แสดงเป็น อาซาจิ นั่นแหละ มองแววตาเธอแล้วขนลุกเกรียวเลยทีเดียวครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอายุถึงวันนี้ก็ 65 ปีเข้าไปแล้ว แต่มันก็ยังดูทันสมัย เช่นเดียวกับบทละครของเช็คสเปียร์ต้นแบบ

สาเหตุ คงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสพื้นฐานของมนุษย์ ในเรื่องอำนาจและนำมาซึ่งโศกนาฐกรรม ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย

บท สรุปสุดท้ายของ วาชิซุ ก็เหมือนผู้ปกครองแบบปิดหูปิดตาประชาชนทุกคนนั้นแหละ คือเมือถึงเวลาคับขันขึ้นมาจริงๆ ก็หันหน้าไปพึ่งพิงใครไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นอีกศพหนึ่งบนการแย่งชิงอำนาจ

ส่วน ที่ว่าวาชิซุจะหมดอำนาจและลูกชายมิกิจะได้ครองแคว้นเมื่อพุ่มไม้เคลื่อนไหว ได้ หมายถึงอะไร อันนี้ขอไม่บอก มีโอกาสลองหามาดู ไม่งั้นจะดูไม่สนุก

ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ก็อดนึกถึงประเทศไทยไม่ได้นะครับ

ประวัติ ศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นเช่นนี้เสมอ ผู้นำที่ปลุกระดมเพื่อที่จะได้เข้าครองอำนาจ มักจะให้คำสัญญาว่าเมื่อพวกเขาได้อำนาจรัฐแล้ว ทุกคนจะมีความสุขสบาย จะพ้นยุคกดขี่ ทุกคนจะมีเสรีภาพโดยเท่าเทียมกัน และสุดท้ายคนเหล่านั้นก็จะกลายสภาพมาเป็นพวกเผด็จอำนาจเสียเอง บางครั้งก็ใช้อำนาจเดียวกันอย่างรุนแรงและโหดร้ายกว่ายุคเดิมด้วยซ้ำ

เสรีภาพรัสเซียยุคสตาลินเทียบไม่ได้เลยกับยุคพระเจ้าซาร์เช่นเดียวกันกับประเทศจีนยุคเจียงชิง

ประเทศ ไทยเรานี่เล่า ตอนนี้เราได้ชื่อว่ามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งชนะจากการใช้โวหารว่าเป็นชัยชนะของประชาชนและทุกคนจะมีเสรีภาพอย่างเต็ม ที่

กะอีแค่หนังเรื่องเดียวมันยังไม่กล้าให้ฉาย !!!!!

แล้วงานนี้ไอ้พวกนักวิชาการที่ชอบเรียกร้องเสรีภาพมันหายหัวไปไหนหมดวะ ????